เป็นที่น่าเสียดายว่า ทั้งๆที่ประเทศเรามีศาสนาที่เปิดกว้างที่สุด แต่หัวใจคนในศาสนานั้นกลับคับแคบและงมงายอย่างน่าใจหาย หนังสือ บางสิ่งที่น่าเสียดาย ไอน์สไตน์ไม่เคยพบแต่พระพุทธเจ้าเห็น ที่เขียนโดย เหม ญาณวีโร เป็นความน่าอับอายของทั้งวงการศาสนา และการศึกษาของประเทศไทย
เหม ญาณวีโร
เหม ญาณวีโร เขียนปรารภในหนังสือ บางสิ่งที่น่าเสียดาย ไอน์สไตน์ไม่เคยพบแต่พระพุทธเจ้าเห็น ด้วยความรู้สึกคับแค้น ที่ “พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นยิ่งกว่ามหาศาสดา ไม่ควรที่จะนำเอาพระองค์ไปเทียบคู่กับปุถุชนธรรมดาที่เกือบบ้าก็ไม่เชิง” ซึ่งจริงๆแล้วเขาก็เขียนเพื่อจะตอบโต้หนังสือ “ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น” ที่เขียนโดย สม สุจีรา แต่ด้วยความคับแค้นนั้น เขาได้กระทำสิ่งที่เหล่าเดียร์ถีย์ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอโศกมหาราชเคยทำกับคนพุทธ เขาให้หน้าปกเป็นรูปดาร์วิน และไอน์สไตน์กราบไหว้พระรูปของพระพุทธเจ้า อันที่จริง คนทั้งสองจะได้นับถือศาสนาพุทธก็หาไม่ จะเคยทำร้ายศาสนาพุทธหรือก็เปล่า แต่เพราะทั้งสองเป็นภาพลักษณ์ตัวแทนของวิทยาศาสตร์จึงถูกนำมาใช้ แสดงให้กราบไหว้ เหมือนที่เดียร์ถีย์ในสมัยพระเจ้าอโศกได้วาดรูปพระพุทธเจ้าศิโรราบกราบไว้เหล่าศาสดาของเดียร์ถีย์เสียกระนั้น การวาดปกให้ดาร์วิน และไอน์สไตน์ไหว้รูปพระพุทธเจ้าก็เหมือนการสำเร็จความใคร่เพื่อระบายโทสะที่กลัดหนองของเขาออก
ข้อผิดพลาดในหนังสือ
ประเด็นการโจมตี ดาร์วินซี
เวลาการเกิดของอารยธรรม: เหม ได้โจมตีไปที่เวลาการเกิดของอารยธรรม โดยใช้การเลือกข้อมูลที่ไม่มีการยืนยันความถูกต้อง คือ อ้างมนุษย์ได้มีขึ้นบนโลกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 600 ล้านปี โดยอ้างข้อมูลการค้นพบ หิน ที่มีข้าวสาลีอยู่ข้างใน และวัดด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยพบว่าหินนั้นมีอายุเก่าแก่ถึง 300 ล้านปี – 600 ล้านปี หินที่เหมอ้างพบข้อมูลตรงกันคือหิน Klerksdorp sphere วัดอายุได้มากสุดถึง 2800 ล้านปี ไม่ใช่แึ้ค่ 300 – 600 ล้านปี[1][2] แต่สำคัญคือมันเป็นสิ่งที่เกิดได้ตามธรรมชาติ มันมีหินบางลูกมีลักษณะกลวงมีเม็ดหินเล็กๆอยู่ข้างในโพรง ซึ่งถูกตีความออกไปโดยเหล่า Skeptic ว่ามีพบเมล็ดข้าวสาลีอยู่ข้างใน
การอ้างทฤษฏีวิวัฒนาการ: เหมอ้างนิยามการวิวัฒนาการว่าถ้ามนุษย์จะวิวัฒนการมาจาก ลิง เช่นนั้นแล้วลิงก็ต้องหายไป แต่เรายังเห็นลิงอยู่แสดงว่าวิวัฒนาการเป็นเท็จ
เหม ได้อธิบายพายเรือในอ่าง ว่า
- มนุษย์และสัตว์ต่างกันต่างกันมากโดยเฉพาะวิญญาณธาตุ จึงมาจากแหล่งอย่างเดียวกันไม่ได้ มนุษย์คนแรกเกิดโดยโอปปาติกะ
- บอกว่าวิญญาณสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งหมายถึงทุกดวงจิตวิญญาณไม่ว่าจะเคยเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ไปเกิดเป็นอาภัสสรพรหมแล้วอยู่ๆมีเนื้อดินหอมหวนเกิด เหล่าอาภัสสรพรหมก็มากินง้วนดินแล้วติดในกลิ่นในรส เหตุแห่งฤทธิ์จึงหมดไป และเวลาผ่านไปก็มีการตำหนิแบ่งฝักแบ่งฝ่ายว่าของใครดีกว่า ง้วนดินก็เสื่อมเป็นเถาไม้ สิ่งมีชีวิตนั้นก็เริ่มมีผิวพรรณผิดแผกไป และต่อไปจนมาเป็นสิ่งมีชีวิต ณ ปัจจุบัน
เมื่อตีความ กลับกลายเป็นว่า การแบ่งแยกนั้น ก็เหมือนกับทฤษฏีวิวัฒนาการ เขาได้อ้างค้าน แต่คำพูดอ้างของเขาเองก็ได้ขัดแย้งกับพุทธพจน์เองด้วย
ตัวอย่างที่ใช้ไม่ได้: เหม ได้ยกตัวอย่างผิดๆว่า APE มีได้แก่ลิงและกระรอก ซึ่ง ลิง (Class:Primate ลิงโลกใหม่) และกระรอก (Class:Rodentia) เป็น APE (Class:Primate ลิงโลกเก่า) ในหน้า 15 เื่พื่อพยายามเทียบเคียงว่าสัตว์ที่วิวัฒนาการไปแล้วจะไม่เหลือสายพันธุ์เดิม ตัวอย่างนั้นผิดตั้งแต่ต้น APE ลิง และกระรอกเป็นสัตว์คนละสายพันธ์ และการวิวัฒนาการนั้น ตัวหลักคือความเหมาะสมกับการอยู่รอดในธรรมชาติที่เปลี่ยนไป กลไกการปรับตัว มีลักษณะเป็น Gene Pool ซึ่งผู้เขียนไม่มีความรู้ในเรื่องนี้แต่ดันเขียน
ประเด็นการโจมตีไอน์สไตน์
การโจมตีไปที่บุคคล:เหม ญาณวีโรได้อุทิศบทที่สองทั้งบทเพื่อการสาธยายประวัติไอน์สไตน์ว่าเป็นแค่ปุถุชนธรรมดา เป็นมุขการโจมตีด้วย Ad Hominem (โจมตีไปที่ตัวบุคคล) ซึ่งเป็นการตอบโต้กับหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ในหนังสือ "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" คุณ "สม สุจีรา" ผู้เขียนได้ใช้แนวเทียบความดีของไอน์สไตน์ในระดับปุถุชน และชี้ให้เห็นความดีในระดับยิ่งยวดที่สูงกว่า ซึ่งเป็นรูปแบบการสอนที่ยังตรงกับวิธีการตามพุทธศาสนา เหมือนตอนสอน อาทิตตปริยายสูตร [3] ต่อพวกชฎิลที่บูชาไฟ ที่ไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า สอนให้เห็นโดยเทียบความดีที่มี กับความดีที่อยู่สูงกว่า แต่วิธีของ เหม ญาณวีโร เป็นการทำให้สิ่งที่ดีนั้นดูไม่ดี เหยียบย่ำ เหยียดหยาม แล้วก็คิดไปเองว่าด้วยการเหยียบย่ำเหยียดหยาม จะทำให้พุทธศาสนาดีขึ้นได้
การมั่วเรื่อง กาล-อวกาศ และพลังงานนิวเคลียร์: เหม อธิบายระเบิดนิวเคลียร์จึงเป็นหลักการเดียวกับกระสุน Hollow Point เป็นการเอาปรมาณูไปรีดกับออกซิเจนเป็นพลังงาน ตรงนี้คงต้องอธิบายกันใหม่ทั้งหมด
สำหรับผู้อ่านทั่วไป สมการ E = MC2 เป็นส่วนที่ใช้ประเมินพลังงานจากการแปลงมวลเป็นพลังงานของระเบิดนิวเคลียร์ แต่การทำงานของระเบิดนิวเคลียร์คือการเร่งการแตกตัวของธาตุกัมมันตรังสีด้วยการยิงนิวตรอนเข้ากระทบนิวเคลียส เมื่อมีการแตกตัวมากถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่และระเบิดไปต่อเนื่อง สิ่งที่ไอน์สไตน์ทำให้เกิดคือ ทำให้ฝ่ายการทหาร เห็นถึงศักยภาพของการใช้พลังงานจากนิวเคลียร์ด้วยผลสรุปสุดท้าย Mass – Energy equivalent ส่วนองค์ความรู้ที่ทำให้ได้มาซึ่ง Mass – Energy Equivalent ตัว Space Time Dilation แทบจะไม่เกี่ยวกับการสร้างระเบิดนี้เลย (แต่ใช้ในการอธิบาย) มันก็ แค่เอาศัพท์ที่ดูยากๆรวมๆกันเข้าแล้วหวังว่าควายจะงงก็แค่นั้นเองครับ ถ้ามันจะเอาอะไรมาอ้าง น่าจะเอาเรื่อง Critical Mass [4] ที่มวลของยูเรเนียม จะมีนิวตรอนมากพอจะเกิด Chain Reaction ได้ด้วยตัวเองมากกว่า ระดับความผิดพลาดที่เขาทำนี้มันทำให้การใช้ศัพท์เทคนิคผิดๆอย่าง “สัมพันธภาพ” (ที่ถูก “สัมพัทธภาพ”) เป็นแค่เรื่องจิ๊บๆเท่านั้น
เรื่องกระสุน Hollow Point: พลังทำลายของกระสุน Hollow Point จุดที่คว้านไว้ มันทำให้กระสุนไม่สามารถทะลุทะลวงเป้าหมาย และบีบให้พลังงานจลน์ของกระสุนต้องถ่ายออกสู่วัตถุเป้าหมายทั้งหมด มันจึงทำลายปริมาตรเนื้อจำนวนมากกว่าการยิงทะลุ ไม่ใช่เรื่องการควงฉีกอย่างที่ เหม เข้าใจแต่อย่างใด
การอ้างการเวียนว่ายตายเกิดและมิติ
แปลพระไตรปิฎกผิด: สำหรับ เหม จุตูปปาตญาณ และ บุพเพสันนิวาสนุสติญาณ เป็นเครื่องมือสำคัญที่วิทยาศาสตร์ไปไม่ถึง และพยายามจะอ้างข่ม แต่ในสิ่งที่เขาอ้างก็ยังอ้างพลาด เช่นที่เขากล่าวพระพุทธเจ้าระลึกชาติได้ 500 ชาติ ทั้งๆที่ในอรรถถาทีฆนิกายมหาวรรคระบุว่าพระพุทธเจ้าระลึกได้ไม่จำกัด [5]
การบีบตีความวิทยาศาสตร์ตามใจชอบ: เพื่อให้วิทยาศาสตร์ด้อยกว่า เขาแสดงเทียบวิธีจำแนกวิธีการ Reproduction ซึ่งนายเหมสามารถจำแนกได้แค่ เกิดเป็นตัว เกิดเป็นไข่ เกิดจากหยากเยื่อ และโอปปาติกะที่เตาเหมแปลว่าลอยเกิด (ประมาณมันต้อง ผ่างงงง ว้อบแว้บๆ มันเกิดขึ้นแล้ว) แต่การเกิดแบบบิ๊กแบง หรือเซลล์แรกไม่ใชโอปปาติกะ เพราะมันไม่แว้บ ผ่าง ดังนั้น วิทยาศาสตร์ไม่มีโอปปาติกะ อันที่จริงแล้ว วิธีการจำแนกตามวิทยาศาสตร์นั้นต่างออกไปเป็นคนละระบบกับพุทธศาสนา เขาไม่ควรเอามาเทียบง่ายๆด้วยแค่การคิดไปเองว่าไม่เหมือนคือไม่ใช่ มันอาจอธิบายในรูปแบบอื่น
เลือกอ้างข้อมูลที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ 1: เรื่องเด็ดของการเวียนว่ายตายเกิด นาย เหม มีอ้างเรื่องทะไลลามะ และ ปู วิชุดา เป็นหลักฐานการระลึกชาติที่โยงถึงการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบยืนยันทางวิทยาศาสตร์ ในส่วนข้อมูลที่เอามาอ้างเชิงวิทยาศาสตร์ เหม อ้างถึงการศึกษาของ ดร Ian Stevenson เรื่อง “Scientific Proof of Reincarnation” [6] ซึ่ง เหม เห็นว่ามีความเป็นวิทยาศาสตร์มาก แม้ว่าวงการวิทยาศาสตร์จะลงความเห็นว่างานศึกษาเรื่อง “Scientific Proof of Reincarnation” จัดเป็น Skeptic และถูกยกเป็นตัวอย่างของ วิทยาศาสตร์เทียม [7] ที่ไม่ควรเอามาอ้างเลยก็ตาม
เลือกอ้างข้อมูลที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ 2: การเลือก กาลอวกาศของ เหม นั้น เขาตีความ Multiverse หรือโลกคู่ขนานในลักษณะของภพภูมิ ที่มีการไปมาหาสู่กันได้ผ่านประตูเวลา ซึ่งมันก็อาจเป็นไปได้ เพียงแต่ตัวอย่างที่เขายกเรื่องภพภูมิมานี้เขาก็ได้บรรจงเลือก กรณีของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามาเป็นตัวอย่างการเปิดของประตูมิติไปต่างภพภูมิ กรณีการหายตัวของเครื่องบินและเรือในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มีประเด็นข้อสันนิฐานมากมายทั้งเรื่องสนามแม่เหล็กรบกวนเข็มทิศ โจรสลัด กระแสน้ำ เฮอร์ริเคน ไปยันเรื่องของโลกต่างมิติ แล้ว เหมก็จะต้องเลือกเอากรณีที่มีความน่าจะเป็นน้อยที่สุดมาเป็นสาเหตุ
ทั้งนี้กรณีสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อัตราการหายของเรือและเครื่องบินในเขตสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าไม่ได้ต่างจากการสาปสูญในพื้นที่น่าน้ำอื่นๆ [8] ตัวสมมุติฐานนั้นจึงผิดตั้งแต่แรก เขาต้องพิสูจน์ว่าอัตราการหายของเรือและเครื่องบินที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามีปริมาณผิดปรกติ การใช้ความรู้สึกคิดไปเองเป็นสิ่งที่ผิดจากหลักการทางวิทยาศาสตร์
DNA บาปกรรม พ่อแม่ส่งถึงลูก
นี่คือส่วนการตีความที่มีปัญหามาก เหม เปรียบการส่งผลทางกรรมพันธุ์จากพ่อแม่สู่ลูกเป็นกรรมชรูปที่สืบต่อกันมา เหม อธิบายไว้ใน (87: 9 - 13)ว่า
“บาปกรรมจากการฆ่าเป็ดไก่นั้นจะตกทอดไปถึงตัวของลูกของเขาที่อยู่ในท้องภรรยาที่ตั้งครรภ์ด้วย เพราะทุกคำข้าวจากที่แม่กินตกถึงลูกนั้น ล้วนได้มาจากเงินแห่งการฆ่าชีวิตของผู้อื่น เมื่อลูกเกิดมาย่อมอาจจะมีสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงสมบูรณ์เหมือนกับเด็กอื่นๆ”
ตรงนี้ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยโดนเท่าไร แต่ทางศาสนาโดนเต็มๆ ผมเคยเห็นพระอีกรูป อธิบายไว้อีกอย่างที่ฟังขึ้นกว่า [9]
“ความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มีอยู่ให้ได้ยินได้ฟังอยู่เนื่อง ๆ เช่น มารดาบิดาทำไม่ดีต่าง ๆ นานาให้เห็น เกิดเหตุการณ์รุนแรงแก่ชีวิตบุตรธิดา ก็มักกล่าวกันว่าลูกรับเคราะห์แทนมารดาบิดาบ้างหรือลูกรับกรรมแทนมารดาบิดาบ้าง ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น กรรมของผู้ใด ผลย่อมเป็นของผู้นั้น จะรับผลกรรมแทนกันไม่ได้…ไม่มี
มารดาบิดาทำไม่ดี ทำบาปทำอกุศล ยังอยู่ดีมีสุขเพราะผลของบาปอกุศลยังส่งไม่ถึง แต่บุตรธิดาที่ไม่ทันได้ทำบาปทำอกุศล กลับต้องมีอันเป็นไปต่าง ๆ นั้น นั่นเป็นเรื่องของการรับผลของบาปอกุศลที่ทำไว้ในภพชาติก่อน ที่ตามมาส่งผลในภพในชาตินี้แน่นอน บุตรธิดาผู้ได้รับผลไม่ดีต่าง ๆ นานา ต้องทำกรรมไม่ดีไว้ในภพชาติหนึ่งแน่นอน แต่เราไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น ไม่ใช่บุตรธิดารับผลกรรมแทนมารดาบิดา
ผู้จะเกิดร่วมกัน เป็นแม่เป็นพ่อเป็นลูกกัน ต้องมีกรรมดีกรรมชั่วในระดับเดียวกัน ไม่แตกต่างห่างไกลกัน จึงทำให้เหมือนลูกรับกรรมแทนพ่อแม่ผู้ทำบาปอกุศล ลูกที่มารับผลไม่ดีต่าง ๆ ขณะที่พ่อแม่ผู้ประกอบกรรมไม่ดีนั้น นั่นเพราะกรรมไม่ดีของลูกส่งผลทันในระยะนั้น จึงทำให้ยากจะเข้าใจได้ จึงทำให้เกิดความสับสนกันมาก กรรมของคนหนึ่ง ผลจะไม่เกิดแก่อีกคนหนึ่งแน่นอน “ .. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาปริณายก ..
ผู้เขียน ได้พยายามตีความจนเกินเลยความสามารถตนจนได้ไปสอนคนถึงขั้นว่ากรรมที่พ่อแม่ทำตกแก่ลูก ตรงนี้คนในพุทธศาสนา จะว่าอย่างไรก็ว่ากันต่อเอง
การอธิบายสันฐานโลกเป็นทรงส้มแป้น
อันที่จริงแล้ว ด้วยอัตราส่วนด้านแกนกับด้านรัศมี โลกเรานี้เป็นทรงกลมในระดับใกล้เคียงลูกบิลเลียด โดยมีส่วนต่างของด้านแค่ความบางของกระดาษ A4 เทียบกับลูกบาสเกตบอล การเปรียบเทียบคำสอนในพุทธศาสนา บางที พระพุทธเจ้า อาจสอนแค่ให้รู้ ไม่ใช่บอกค่าออกมาเป็นอย่างนั้นเป๊ะๆ อย่างการประมาณขนาดของปรมาณูเทียบกับการแบ่งเมล็ดข้าว เป็น 7 ส่วนแล้วอีก 7 ส่วน แล้วแบ่งเป็น 34 ส่วนอีกสี่ครั้ง จึงเป็นขนาดของปรมาณู คิดดำนวณดูคร่าวๆก็จะอยู่ในหน่วยอังสตอม ต่างไม่เกิน 10 เท่า ดังนี้ถ้านักวิทยาศาสตร์จะบอกว่า พระพุทธเจ้าบอก Error ไปตั้ง 10 เท่ามันก็ไม่ใช่ ท่านอธิบายได้ดีแล้วสำหรับคนที่ตลอดยุคสมัยนั้นจะไม่มีวันได้แตะ Electron Microscope แล้วดังนี้เอง ฝ่ายศาสนาทำไมจึงจะพยายามดึงดันว่าทุกสิ่งต้องเป็นตามที่พระพุทธเจ้าบอกแบบเป๊ะๆสมบูรณ์ แล้วเอาคำอธิบายสันฐานโลกเป็นทรงส้มแป้นจากฝั่งศาสนา มาอธิบายในชั่วโมงวิทยาศาสตร์ให้มันมั่วกันได้ถึงปัจจุบัน
มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับสันฐานของโลกกลม ความเชื่อเรื่องโลกกลมมีมานานก่อนยุคของไอน์สไตน์ มีมานานก่อนยุคอริสโตเติ้ล (ขานั้นเชื่อโลกกลมแต่โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล) Pytagoras (570 - 495 BC) ก็ได้สังเกตและคำนวณรัศมีของโลกไว้ ในสมัยบาบิโลนก็เห็นมีความเชื่อเรื่องโลกกลมเช่นกัน ถ้าไปถกกันที่ห้องสมุดถึงประวัติศาสตร์ความเชื่อและศาสนาจะได้ถกกันสนุกมาก แม้ว่าคริสต์จักรจะยอมรับเรื่องโลกกลม แต่ก็มีความเชื่อของยุคสมัยว่าโลกแบนอยู่ครับ
สรุป
สิ่งที่ เหม เขียนในหนังสือ บางสิ่งที่น่าเสียดาย ไอน์สไตน์ไม่เคยพบแต่พระพุทธเจ้าเห็น หลักๆเป็นการโอ่ว่าสิ่งที่วิทยาศาสตร์พบนั้นพระพุทธเจ้าพบมาก่อนแล้ว เขาพยายามจะบอกว่าบางอย่างวิทยาศาสตร์ก็สรุป หรือด้อยกว่าวิทยาศาสตร์ แต่ด้วยความตื้นเขินของเขาเอง นอกจากเขาจะตีความวิทยาศาสตร์ผิดเขายังตีความพุทธศาสนาผิด แถมยังไม่ยอมรับผิดอีก
ข้าพเจ้าคิดว่า เหม ญาณวีโร แม้ชื่อคล้ายพระแต่คงไม่ใช่ภิกษุ เพราะกฎการบวชของศาสนาพุทธนั้น ห้ามคนสติไม่สมประกอบเข้ามาบวช คนที่มีสภาพจิตคิดประหนึ่งว่าตัวเองเก่งรองก็แค่พระพุทธเจ้าดังนั้นตัวเองก็ต้องเก่งกว่ารู้มากกว่านักวิทยาศาสตร์หรือคนอื่นๆทั้งหมด แต่ก็ยังระแวงขาดความมั่นใจ ถ้าไม่ดูถูกถูถุยคนอื่นแล้วจะดำรงอยู่ไม่ได้ ดังที่เขาเขียนถึงตัวเขาเองว่า
"ด้วยผมเกิดมาในชาตินี้ผมหยิกหน้าก้อ(กร้อ)คอสั้นฟันห่าง...สงสัยอดีตชาติคงไม่ได้รักษาศีลเท่าที่ควร แถมยังสติปัญญายังหายไปเกือบห้าสิบสตางค์ ความรู้จึงไม่ค่อยมีเหมือนใครๆเขา แม้แต่จะไปศึกษาเป็นแพทย์ทางด้านดูแลสัตว์ยังไม่ได้เลย เพราะใจอยากเป็นหมอตอนควาย.. เลยเป็เหตุต้องให้เดินทางไปถึงอินเดีย ไปกราบนมัสการ ถามพระเถระผู้มากความรู้ที่นั่น"
เชื่อว่าที่นาย เหม กล่าวถึงตนเองคงไม่ผิด คนประเภทนี้ควรกักอยู่ในสถานบำบัดอาการทางจิตมากกว่าปล่อยให้ออกมาสร้างปัญหาให้ทั้งต่อวิทยาศาสตร์ และศาสนา
Hate Mail ผู้ออกแบบปก ได้ที่ pt_graphic@hotmail.com
Hate Mail กอง บก contact@panyachon.com
เวบไซต์ บริษัท ปัญญาชนดิสทรีบิวเตอร์ จำกัด http://www.panyachon.com/
สนับสนุน การต่อต้านวิทยาศาสตร์เทียม ได้ที่ http://www.facebook.com/antipseudoscience
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น