หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การหลอกขาย Stem Cell

Stem Cell อะไรๆก็ Stem Cell รักษาได้ทุกโรค นี่เป็นเคสการหลอกลวงที่มากับวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าไป โดยการใช้ความเป็นไปได้ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์เอามาหลอกล่อผู้ป่วยสิ้นหวัง หรือ ไปจนถึงคนรวยอยากสวยชลอความแก่ การอ้างเกินข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์มามอมเมาประชาชนเหล่านี้เรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์เทียม หรือ Pseudo Science โดยเหล่าหมอหมาๆผู้ไร้จรรยาบรรณทางการแพทย์ มันเป็นมาอย่างไร เรามารู้จักมันกันสักหน่อยน่าจะดี

Stem Cell หรือ Cell ต้นกำเนิด เป็นเซลล์ที่ยังไม่ Fix หน้าที่ของตัวเอง และยังไม่พัฒนา Antigen เฉพาะ ทำให้สามารถเข้าได้กับทุกอวัยวะ และสามารถทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพได้ กระบวนการควบคุมให้ Stem Cell เปลี่ยนไปเป็นอวัยวะเป้าหมาย

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สกัดเซลล์ต้นกำเนิดได้ 2 วิธี คือ สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ (Embryonic Stem cell) กับสเต็มเซลล์จากร่างกาย หรือที่เรียกว่าสเต็มเซลล์เต็ม วัย (Adult Stem cell) เช่น รก สายสะดือ เนื้อเยื่อ ไขกระดูก ไขมัน เลือด ฯลฯ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อและอวัยวะของร่างกาย โดยวงการแพทย์พบสเต็มเซลล์จากเลือดจนพัฒนาเพื่อรักษาโรคเลือดมานานกว่า 20 ปีแล้ว ขณะที่สเต็มเซลล์จากอวัยวะอื่นๆ รวมถึงสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ เพิ่งค้นพบไม่กี่ปีมานี้จึงอยู่ระหว่างการวิจัย

การใช้งาน Stem Cell ในปัจจุบัน
ตามทฤษฏี Stem Cell สามารถนำใช้แทนอวัยวะร่างกายได้ทุกส่วน แต่ทางภาคปฏิบัติ การควบคุมการเติบโตเป็นอวัยวะเป้าหมายนั้นมีจำกัดมาก โดย จากการศึกษาจนถึงปัจจุบันบ่งชี้ว่า โรคที่สามารถรักษาได้หายขาดด้วยเสตมเซลล์มีกลุ่ม โรคความผิดปกติที่ไขกระดูกและโรคความผิดปกติทางระบบโลหิตประมาณ 70 ชนิด ซึ่งการรักษาด้วยเสตมเซลล์ได้รับรองเป็นวิธีมาตรฐาน ตัวอย่างโรคที่รักษากันด้วยเสตมเซลล์ในปัจจุบัน อาทิเช่น โรคธาลัสซีเมีย โรคลูคีเมีย โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งในวัยเด็ก โรคสมองพิการแต่กำเนิดหรือซีพี เป็นต้น ส่วนโรคที่ยังไม่เป็นมาตรฐานแต่อาจสามารถรักษาได้ในปัจจุบัน ได้แก่ การรักษาภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องถูกตัดขา โรคหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดตีบตัน โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ อาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง โรคข้อและโรคตา เป็นต้น ทั้งนี้การรักษานั้นจำกัดในวงของโรงพยาบาลที่มีการรักษาด้วยเสตมเซลล์ และวงการวิจัย ซึ่งยังมิได้นับเป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐาน

การกล่าวอ้างและหลอกลวงหาผลประโยชน์
กรณีการกล่าวอ้างการรักษาด้วย Stem Cell ที่นอกเหนือจากโรคผิดปรกติที่ไขกระดูก และความผิดปรกติของระบบโลหิต เกือบทั้งหมดเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค ซึ่งมีอ้างอิง ช่วงเดือนมีนาคม 2552 "คม ชัด ลึก" ตีแผ่ขบวนการหลอกขายสเต็มเซลล์ในประเทศไทย โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ประกาศขายในเว็บไซต์กว่า 8,000 แห่ง แน่นอนว่าการรักษาด้วย Stem Cell จำเป็นต้องมีใบประกอบโรคศิลป์ ซึ่งองค์กรที่ทำธุรกิจเหล่านี้ ก็มักจ้างหมอจบใหม่มาดำเนินการ เมื่อเกิดการฟ้องร้อง ความผิดก็ตกอยู่กับหมอจบใหม่ดังกล่าว

การกล่าวอ้างเรื่องการใช้ Stem Cell ถึงกับมีผู้ประกอบการบางรายอ้างการผสม Stem Cell ไว้ในผลิตภัณฑ์ประทินผิวชะลอความแก่ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะ
การเก็บรักษาทำได้ยาก มีเงื่อนไขหลายข้อและเสียค่าใช้จ่ายสูง ได้แก่
  1. ต้องอยู่ในที่ปลอดเชื้อตลอดเวลา
  2. ต้องได้รับน้ำเลี้ยงเชื้อและมีการเปลี่ยนสม่ำเสมอภายใน 2-3 วัน
  3. ต้องเก็บในบรรยากาศที่มีความชื้นและคาร์บอนไดออกไซด์ 5 เปอร์เซ็นต์
  4. อยู่ในอุณหภูมิประมาณ 37 องศาเซลเซียสเท่าร่างกายมนุษย์


จากเงื่อนไขทั้งหมดหากใครเห็นสเต็มเซลล์อยู่ในกล่องแล้วเอามาใส่หลอดฉีด ให้รู้เลยว่าถูกหลอก

ปัญหาที่ทำให้การปราบปรามการหลอกลวงนี้ทำให้ยาก ส่วนหนึ่งคือ Placebo effect หรือการคิดไปเองว่ารักษาได้ อาการตัวเองดีขึ้น ในกรณีงานวิจัยทางการแพทย์ที่มีการให้ยาหลอก ก็มักพบสัดส่วนอาการเจ็บป่วยดีขึ้น (หรือผู้ป่วยรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้น) ในกรณีของชีวจิต ที่เคยโด่งดัง ก็เคยพบคนไข้ที่รู้สึกเอาเองว่าดีขึ้นและหยุดการรับการรักษาแบบมาตรฐาน จนมะเร็งลามเสียชีวิตก็มี ในปัจจุบันแม้แต่ในกลุ่มที่มีการรักษาด้วยชีวจิตบำบัดก็จะใช้ความระมัดระวังไม่ให้หยุดการรักษาตามแผนปัจจุบัน แต่น่าเสียดาย ที่การทำงานของแพทย์สภามักจะช้ากว่าการเข้าหาผู้ป่วยของการแพทย์ทางเลือก และยิ่งการที่ผู้ป่วยคิดไปเอง เลยไม่มีการแจ้งเบาะแส ทำให้ปัญหาแพทย์ทางเลือกในกลุ่มผีบุญนี้ลุกลามไปใหญ่โตแพร่หลายได้ง่าย

การตอบโต้ของแพทย์สภา
และเพราะมีการต้มตุ๋นหาประโยชน์อ้างการรักษา มีความเสียหายเป็นจำนวนมหาศาล เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553 ได้มีการออกข้อกำหนดการรักษาด้วย Stem Cell ให้ใช้รักษาเฉพาะโรคที่มี Case ผลการวิจัยรองรับว่าใช้ได้จริง ซึ่งก็คือโรคเกี่ยวกับเลือด และไขกระดูก เฉพาะที่มีงานวิจัยเท่านั้น เพื่อเป็นการดัดหลังและป้องกันการแอบอ้างเอา Stem Cell ไปใช้ประโยชน์ คนที่ฉีดให้คนไข้ ถ้าไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ ก็คือผิดกฏหมาย และถ้าเป็นแพทย์ ก็คือทำผิดกฏของแพทย์สภา และก็จะถูกดำเนินคดีทางกฏหมายด้วย

อ้างอิง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น