หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ชำแหละ: ต้นทุนข้าวไทย ชาวนาไทย ทำไมถึงว่าจน



ผมมีเรื่องอยากจะเขียนให้เต็มไปหมดแต่เวลาก็ไม่ค่อยอำนวยสักเท่าไรเพราะงานประจำรัดติ้ว แต่งวดนี้มีเรื่องข้อสงสัยในกระทู้หว้ากอว่าชาวนาไทยทำนาไปทำไม ทำแล้วก็ต้องผลาญเงินภาษีไปโบ๊ะราคาข้าว โบ๊ะแล้วโบ๊ะอีก ดังนั้น ถ้าเรามาดูกันจริงๆจังๆว่า ชาวนาจะทำนากันไปทำไมถ้ามันขาดทุนกันได้ตลอด


โครงสร้างราคาข้าว

จากข้อมูลรายงาน “การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนจากการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ขาวดอกมะลิ 105  ของเกษตรกรผู้จัดทำแปลงขยายพันธุ์ข้าว ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวสุรินทร์  ในปีการผลิต 2551/52 - 2554/55” ของศูนย์พันธุ์ข้าวสุรินทร์ [1] พบว่า โครงสร้างต้นทุนข้าว จะมีประมาณดังต่อไปนี้


ค่าใช้จ่ายต่อปีอาจมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ในภาพรวมก็จะอยู่ในช่วง 3500 – 4000 บาท ต่อไร่ เมื่อเราคิดถึง Yield ของข้าวต่อไร่ ในแต่ละปี ซึ่งจากตารางข้างต้น ตัวอย่างปี 2554จะอยู่ที่ 364 กิโลกรัมต่อไร่ เราจะคำนวณออกมาเป็นต้นทุนข้าวเปลือกต่อกิโลกรัมได้ตามข้างล่าง ผู้อ่านสามารถหา Yield แต่ละปีได้โดยเอา บาทต่อไร่ หารด้วย บาทต่อกิโลกรัมข้าวเปลือกกันเอาเองนะครับ


ราคาขายข้าวเปลือกหอมมะลิ (ขาวดอกมะลิ 105) จากราคาเดือนตุลาคม 2555 อยู่ที่ 15,000 บาทต่อตันข้าวตามราคาโรงสี หรือ 15 บาท ต่อกิโลกรัม [2] ส่วนต้นทุนของชาวนา อยู่ที่ 10.4 บาทต่อกิโลกรัมในปี 2554 เป็นค่ากินค่าอยู่ของชาวนา เราจะมาว่ากันทีหลังถึงเรื่องรายได้ของชาวนาทีหลัง ตอนนี้เราพักไปดูต้นทุนของโรงสีกันก่อน ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจกันก่อนว่า การสีข้าวเปลือก 1 ตัน จะได้ข้าวสารประมาณ 460 กก ส่วนอื่นๆที่ได้ คือ ปลายข้าวหัก รำข้าว และ แกลบ โดยข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ เคยทำวิเคราะห์สัดส่วนผลผลิตไว้ในปี 2539 ดังต่อไปนี้ [3]


การสีข้าว จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ 1,129 บาทต่อตัน คิดจากต้นทุนค่าสี 7% [4] แต่ถ้าจะไล่ไปจนจบกระบวนการ มีการจัดส่ง บรรจุเป็นหีบห่อพร้อมขาย ข้อมูลจากกระทู้ในเวบเกษตรพอเพียง[5] มีกระทู้ที่แตกค่าใช้จ่ายออกมาได้ค่อนข้างละเอียด โดยเมื่อเทียบกับฐานข้อมูลแล้ว ค่าใช้จ่ายการสีข้าวที่ 1,000 บาทก็นับว่าตรงกับข้อมูลจากรายงานของ กองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 2 จึงใช้ข้อมูลจากกระทู้ในเวบเกษตรพอเพียง[5]เป็นฐาน ได้ผลมาดังต่อไปนี้


ต้นทุนการแปรรูปพร้อมเป็นบรรจุภัณฑ์ คิดเป็นค่าใช้จ่าย 2,294 บาทต่อตันข้าวเปลือก ส่วนรายได้ จะเป็นส่วนต่างของผลผลิต ซึ่งเราจะมาดูราคาขายของผลผลิตแต่ละอย่างของการสีข้าวกัน ดังนี้[6]


เราจะเห็นได้ว่า ราคาขายข้าวหอมมะลิของเราที่ค่อนข้างสูง จะต้องถัวไปกับราคาผลิตภัณฑ์ส่วนอื่นๆด้วยจึงจะเป็นโครงสร้างต้นทุนข้าวที่แท้จริง เมื่อวิเคราะห์โดยสัดส่วน แล้ว ต้นทุนผลิตภัณฑ์ข้าวของเรา จะมีต้นทุน และ กำไร จากส่วนของชาวนา และ โรงสี ดังต่อไปนี้


รายได้ทำกินของชาวนา
ส่วนต่างของมูลค่า ที่น่าสนใจ ส่วนของโรงสีที่ได้มูลค่าส่วนเพิ่มจากกำไรมีเพียง 6% และสมมุติเชื่อว่าต้นทุนของโรงสีน้อยกว่านั้นสักกึ่งหนึ่ง มูลค่าส่วนเพิ่มตรงกำไร ก็จะขยายมาที่ 12% ในราคาข้าว 32 บาท นั่นก็เป็นกำไรเพียง 2-4 บาทจากโรงสี แต่ส่วนมูลค่าเพิ่มจากกำไร 8 บาท หรือ 25% ของมูลค่า มาจากชาวนา

ทีนี้ ราคาขายข้าว ของชาวนา จะสร้างรายได้ให้ชาวนาได้เท่าไร ก็ต้องมาดูเรื่องพื้นที่ทำกินกันว่า ด้วยขนาดของพื้นที่ทำกิน (ไร่) ชาวนาจะมีรายได้เท่าไร ถ้าทำการเกษตร 3 รอบต่อปี โดยสัดส่วนแล้วชาวนา 25.5% จะมีที่ทำกิน ไม่เกิน 10 ไร่ ชาวนา 39.2% มีพื้นที่ทำกิน 10 -20 ไร่ ชาวนา 17.7% มีพื้นที่ทำกิน 20-30 ไร่ และ 9.8% มีพื้นที่ทำกิน 30-40 ไร่ ที่เหลือ 7.8% คือมีพื้นที่ทำกิน 40 ไร่ขึ้นไป[1] ซึ่งโครงสร้างต้นทุนกำไรของแต่ละขนาดพื้นที่ทำกิน จะได้ออกมาประมาณนี้


พื้นที่ทำกินยิ่งน้อย กำไรต่อรอบการเพาะปลูกก็น้อยโดยสัดส่วน แม้ว่าในแง่เปอร์เซนต์สัดส่วนกำไรจะเป็นสัดส่วนเดียวกัน แต่ผลกระทบต่อรายได้ต่อครอบครัว พอไม่พอ มันอยู่กับพื้นที่เพาะปลูกเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าเราดูจากตารางข้างล่าง ชาวนาที่มีพื้นที่ทำกิน 10 ไร มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ยเพียง 4,223 บาท แน่นอนว่าข้าวที่เพาะปลูกก็ต้องเก็บไว้กินเองด้วย เงินก็จะน้อยกว่านั้น แต่ในอีกด้าน ชาวนาที่เช่าที่ปลูกไร่ถึง 40 ไร่ รายได้ต่อเดือนจะอยู่ที่ 16,891 บาทต่อเดือน รายได้นี้ อาจมากขึ้นได้ถึง 23,000 กว่าบาท ถ้าเป็นที่ของตัวเอง

* แก้ไข ส่วนเพิ่มการจำนำข้าว จาก บาทต่อปีต่อราย เป็น บาทต่อปี - รอบการเพาะปลูก - ราย ครับ*

ปัญหาการชดเชยราคา หรือการจำนำข้าว

การชดเชยราคาข้าวของรัฐ คิดราคาจำนำประมาณ 20,000 บาทต่อตันข้าวเปลือกสูงกว่าราคาตลาด 5,000 บาทต่อตันข้าวเปลือก [7] หลักๆก็คือการช่วยชาวนาที่มีพื้นที่ทำกินน้อยเพียง 10 ไร่ ให้มีฐานรายได้สูงพอจะอยู่ทั้งครอบครัว แต่เงินชดเชยนี้ ก็ต้องให้กับชาวนาที่มีที่ดินทำกินมากพอ นี่จึงอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม พ่อค้า ไปปลูกข้าวแล้วรวยทุกคน เพราะขอแค่รวบรวมพื้นที่ได้มากพอ การปลูกข้าว จะได้อานิสงค์จากภาษีของรัฐเกิดเป็นกำไรอย่างมากมายมหาศาล
ขนาดทางเศรษฐกิจ ปัจจัยชี้ขาดของภาวะยากจนของชาวนา 

จากตรงนี้ เราน่าจะเห็นถึงความไม่ยุติธรรมในความยุติธรรมที่ต้องผลาญเงินมหาศาลเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร 25% มันเป็นความยุติธรรมถ้าเรามองว่าถ้าจะให้เงินชดเชยก็ต้องให้แบบฝนตกทั่วฟ้า รายได้ต่อผลผลิตจะได้เท่าเทียมกัน แต่ไม่ยุติธรรมกับผู้เสียภาษีที่เพื่อช่วยเกษตรกร 25% แต่ถูกชักเงินภาษีไปล้างผลาญเกินกว่าที่ควรจะเป็นถึง 3 เท่าตัว

การลดการกดขี่ของพ่อค้าคนกลาง อาจช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร แต่ปัญหาที่ใหญ่จริงๆมันมาจากโครงสร้างที่ทำกิน ชาวนาที่มีขนาดที่ทำกิน 10 ไร่ อาจได้เงินเพิ่ม 900 บาทต่อเดือนเทียบเท่าถ้ารีดเม็ดเงินออกจากพ่อค้าคนกลางในส่วนความไม่เป็นธรรม สมมุติว่ามีการกดราคารับซื้อถูกกดลงไปจากราคาของโรงสีสัก 1,000 บาทต่อตันข้าวเปลือก แต่ถึงกระนั้น ข้อเท็จจริงก็คือ พื้นที่ทำกินของเขา ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ความต้องการพื้นฐานรายได้ ถ้าเราเชื่อตามนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ความต้องการรายได้ต่อเดือนอย่างน้อยของเกษตรกรก็ควรอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 8,000 บาทต่อเดือน ซึ่งกลุ่มผู้มีขนาดที่ทำกิน 10 ไร่ ถ้าไม่มีการหว่านเงินชดเชยจากภาครัฐ รายได้เขาก็อยู่แค่ช่วง 5,000 บาทต่อเดือน

แนวทางการแก้ปัญหา

การแก้ไขปัญหาระยะยาวจะต้องมีการจัดการโครงสร้างเชิงสังคมกันขนาดใหญ่ เช่นอาจต้องจัดหางานอื่นๆเข้ามาทดแทนให้ชาวนาสัก 10% ที่มีพื้นที่ทำกินไม่ถึง 10 ไร่ อาจโอนให้เขาไปทำงานในภาคอุตสาหกรรม แล้วชาวนาที่เหลือรับช่วงพื้นที่ทำกินเพิ่มแทน ปัญหาราคาข้าวก็จะแก้ไปได้แบบถาวร หรืออาจปรับโอนชาวนาบางส่วน ไปทำอาชีพเกษตรอื่นๆที่มีผลตอบแทนต่อพื้นที่สูงกว่านี้ และ พออยู่ได้ในพื้นที่ทำกินแค่ 10 ไร่เป็นต้น แต่ถ้าทำกันอย่างนี้ต่อไป เราก็จะมีการ Siphon เงินจากกระเป๋าประชาชนไปอย่างสูญเปล่าเพื่อเลี้ยงคนจำนวนน้อยอย่างไร้ที่สิ้นสุด

อ้างอิง
[4] รายงาน อุตสาหกรรมแปรรูปข้าว ของกองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา2


5 ความคิดเห็น:

  1. ชื่อตารางที่ 2 ผิดค่ะ (ภาพตารางที่2) ต้องใส่ชื่อภาพว่า ราคาขายข้าวเปลือก ไม่ใช่ต้นทุนข้าวเปลือกนะคะ
    (ไม่งั้นคนอ่านเร็วๆจะงงค่ะ)

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ
    อืมม์ มันจะว่าต้นทุนก็ไม่ใช่ ราคาขายก็ไม่เชิง ควรเรียกว่า ราคาขายข้าวเปลือกที่เหมาะสมกับราคาขายปลีกข้าวสินะ

    ว้า มันจะแก้ยังไงดีละเนี่ย

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ23 กรกฎาคม 2557 เวลา 03:27

    อยากได้ข้อมูล รายงาน อุตสาหกรรมแปรรูปข้าว ของกองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา2 ส่งให้หน่อยได้ไหมคะ ขอถามอีกเรื่อง ถ้าเป็นช้าวพันธุ์อื่นเช่นข้าวขาว 5% ต้นทุนที่โรงสีจะต่างกันไหมคะ

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ23 กรกฎาคม 2557 เวลา 03:28

    ที่อีเมล vivawawee@gmail.com

    ตอบลบ
  5. หลังย้ายบ้านมา พวกเอกสารที่เป็น Hard Copy คงหาเจอยากละครับ เพราะเขียนตัวนี้ไว้หลายปีแล้ว ส่วนต้นทุนที่โรงสีไม่ต่างกันในเชิงตัวเงิน

    ผมมารีวิวดูใหม่ ถ้าเอาเฉพาะต้นทุนโรงสี ผมคิดว่าเอกสารตัวนี้น่าจะใช้แทนได้ และดีกว่าเอกสารตัวที่ผมใช้เมื่อปี 2555 ด้วยซ้ำครับ เพราะเป็นข้อมูลปฐมภูมิ
    http://library.cmu.ac.th/faculty/econ/Exer751409/2556/Exer2556_no18

    ตอบลบ