มีคำกล่าวว่า “ชายแท้มักจ้องนม ก่อนจ้องหน้า”
ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้วก็ยอมรับว่าแม้อยากจ้องหน้า
แต่สายตามันจะหนักและดึงดูดไปที่นม แรงดึงดูดของนมนี้มีข้อสันนิฐานทางชีววิทยาว่าเป็นการคัดเลือกทางกายภาพเพื่อหาแม่ให้ลูก
และนมอึ๋มๆน่าจะส่งผลต่อการสามารถผลิตนมมาให้คุณพ่อ เอ๊ย ลูกดูด
และเมื่อในทางชีววิทยา การกระเพื่อมของนมเป็นสิ่งเร้าที่สำคัญของเพศผู้
ยกเว้นพวกโลลิกับยาโอย เรามาลองเรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างสร้างสรรค์ โดยใช้ นม
เป็นสื่อกันดีกว่า
การกระเพื่อมใดๆนั้น
สามารถจัดเป็นการเคลื่อนไหวแบบ Simple Harmonic และสามารถอธิบายลักษณะของการกระเพื่อมได้โดยอาศัย
กฎของ ฮุค (Hook’s Law) โดย สมมุติหน่มน้มเหมือนสปริง
แรงที่กระทำต่อหน่มน้มนั้น จะเขียนได้ในรูป
F = kX
แรง ตรงนี้ มาจากไหน
ก็มาจากแรงที่เรากระทำต้านกับแรงโน้มถ่วง เช่น ในขณะวิ่ง
เรามีการยกตัวเราสูงขึ้นจากพื้นซึ่งเป็นตัวพาหน่มน้มขยับขึ้นไป
และตกลงมาด้วยแรงขนาดเท่ากัน จึงเกิดเป็นการกระเพื่อม
ในที่นี้ F คือแรงที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว k คือสัมประสิทธิ์ความยืดหยุ่นของเต้นนม
และ X คือแอมพลิจูด (Amplitude) ระยะการไกวของนม
(อาจนับที่จุกนม) จากจุดต่ำสุดไปถึงจุดสูงสุด
คาบเวลาของการกระเพื่อม
ขึ้นอยู่กับความเร็วเชิงมุมของการกระเพื่อมสามารถแก้ออกมาได้ด้วยกฏข้อที 2 ของนิวตัน ซึ่งเราจะได้สมการออกมาในรูป
w=(k/m)0.5
จากสมการข้างต้น เราสามารถบอกได้ว่า
คาบการกระเพื่อมของนมนั้นจะแปรผันตามมวลของหน่มน้ม และสัมประสิทธิ์ความยืดหยุ่น
อกยิ่งใหญ่ คาบการกระเพื่อมควรจะยิ่งยาว คาบการกระเพื่อมจะกระชั้นขึ้นได้ถ้าอกฟิต
เด้ง สู้มือ ซึ่งลักษณะความเด้งนี้ ก็คือการเพิ่มขึ้นของค่า k ของสปริงนั่นเอง
การกระเพื่อมของนม การลดลงของ
แอมพลิจูด X จากแรงต้าน เราเรียกสิ่งนี้ว่าการ แดมปิ้ง (Damping) เช่นการเปลี่ยนถ่ายของพลังงานกลไปเป็นความร้อนจากการเสียดสีของเนินเนื้อหรือกับอากาศ
ดังนั้น นม
จึงไม่สามารถจะกระเพื่อมต่อเนื่องไปชั่วกาลนานถ้าไม่มีแรงจากภายนอกใส่เข้าไปอย่างต่อเนื่อง
เช่นนมในสภาวะการจ็อกกิ้ง ที่มีการถ่ายแรงเข้าตลอดเวลา
การจ็อกกิ้ง
จะทำให้เกิดจากการเข้าจังหวะของ 2 คาบฮาร์โมนิค คือการไกวของนมที่เกิดตามค่าความยืดหยุ่นของเต้า
กับค่าฮาร์โมนิคของการคาบการวิ่ง ดังนั้นระหว่างจ็อกกิ้ง
การเคลื่อนไหวของนมจะเป็นผลรวมของ 2 คาบฮาร์โมนิค
และทำให้เกิดความซับซ้อนของการเคลื่อนไหว ถ้าสังเกตดีๆ การกระเพื่อมของนมในรูป จะมีจุดสะดุดตอนนมเคลื่อนที่ลงต่ำสุด เพราะเกิดแรงดันต้านขึ้นจากคาบของการวิ่ง
ในกรณีของนมในน้ำ
แรงต้านทานของน้ำที่มากกว่าอากาศ ก็จะทำให้แอมพลิจูดของการแกว่งลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ในอีกด้านหนึ่ง การแกว่งของนม จะมากจะน้อย ขึ้นกับแรงที่ใส่เข้าไป นอกจากปัจจัยนมใหญ่นมเล็กแล้ว มันยังมีปัจจัยอื่นๆได้อีกเช่น แรงโน้มถ่วง
ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ นั่นคือ
ค่า g ลดลง การกระเพื่อมของนม จะมีระยะการไกวของจุก X ลดลงตามแรงโน้มถ่วง แต่คาบการไกวจะคงที่ เพราะจากสมการที่ 2 ที่ให้ไว้ คาบการไกว แปรผันกับค่าความเด้ง k กับมวล m ของนม ดังนั้น คาบการกระเพื่อมของนมจะคงเดิมในทุกแรงโน้มถ่วง
แต่ระยะการไกวของจุกนมจะน้อยลงตามแรงโน้มถ่วง
การแกว่งของนมนั้น
สัมพันธ์กับกฎอนุรักษ์พลังงาน เพราะ แรง ถูกใส่เข้าไปที่นมให้เคลื่อนไหว
ซึ่งเมื่อคูณด้วยระยะ X แล้ว นั่นก็คือ พลังงาน แต่นม ก็กระจายพลังงานออกทำให้ต้องเติมพลังงานเข้าไปรักษาคาบการแกว่งเรื่อยๆ
ดังนั้น สาวนมตู้ม จะมีอัตราการสูญเสียพลังงานสูงกว่าสาวทรงไข่ดาว (แต่หลักๆแล้วปัญหามันคือเรื่องเจ็บเสียมากกว่า)
ในการลดปัญหาการสูญเสียพลังงาน
มันก็จึงมีอุปกรณ์เสริมประเภท สปอร์ตบรา ที่ทำหน้าที่เก็บนม ลดการแกว่างกระเพื่อม
ทำให้การใช้การสูญเสียพลังงานลดลง ซึ่งเราจะสามารถเทียบการไกวของนมในสปอร์ตบราจากรูปข้างล่าง เทียบกับรูปข้างบนๆได้ ว่าแอมพลิจูดมันน้อยกว่ากันเยอะ
และ นี่ก็คือ ตัวอย่างการใช้กฎของ ฮุคส์ ร่วมกับ กฎของนิวตัน ในการอธิบายการเคลื่อนไหวฮาร์โมนิคอย่างง่ายในสภาวะที่ต่างๆกัน สุดท้ายนี้ ผมมีคำถามสำคัญจะถามท่านผู้อ่านว่า
Katherine Elizabeth "Kate" Upton
ตอบลบโอ้ว
ตอบลบเจ้าของบล็อกเข้ามาเองก็ตะลึง คนไทยสนใจฟิสิกส์ (นม) กันขนาดนี้เชียว
ตอบลบบททวนบทเรียนกันหน่อย 555
ตอบลบ