FWD Mail นี้มีแพร่หลายอยู่นมนานกาเลแล้ว และมันก็ไม่หมดไปเสียที FWD นี้ก็มีชำแหละไปแล้วที่ห้องหว้ากอ แต่ก็ไม่รู้ทำไม ป่านนี้ก็ยังมีคนเชื่อ เมื่อวันที่ 26 กค 2554 ก็ยังเห็นมีคนเอามาเขียนลงใน Bloggang อีก ไหนๆ ยี่ห้อตาดาร์ธ ก็ผูกกับคำว่า ชำแหละ FWD Mail ลวงโลก ดังนั้น การเอามาเขียนลง Blog มันก็อาจช่วยให้คนสามารถค้นหาข้อเท็จจริงของ FWD Mail ลวงโลกนี้ ได้ง่ายขึ้นบ้างสักนิดก็ยังดี โดยสรุป เนื้อหา FWD Mail นี้เป็นเรื่องโกหก แต่ตะเกียบอนามัย มันก็อันตรายจริงๆน่ะแหละ !?!? เอาละสิมันยังไงกัน เรามาเรียนรู้ไปด้วยกันเลยดีกว่า
=================================================
อุปกรณ์หนึ่งในการกินก๋วยเตี๋ยวที่จะขาดเสียไม่ได้เลย ก็คือ "ตะเกียบ" โดยผู้ประกอบการร้านอาหาร ส่วนใหญ่นิยมใช้ "ตะเกียบอนามัย" ชนิดใช้แล้วทิ้ง
ฟังชื่อแล้วทําให้มั่นใจว่าจะได้ตะเกียบที่สะอาด ปลอดภัย แต่แท้จริงแล้วตะเกียบชนิดนี้เป็นที่สะสมของสารเคมีอันตรายหลายชนิด โดยเฉพาะ "สารฟอกขาว" ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่ใช้แช่ถั่วงอก ที่มีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นส่วนประกอบ เมื่อสารชนิดนี้ถูกน้ำร้อนหรือของที่มีอุณหภูมิสูงจะเปลี่ยนเป็นสารซัลฟูริก ชนิดเดียวกับที่ใช้ในแบตเตอรี่รถยนต์
เมื่อเราใช้ตะเกียบที่มีสารฟอก ขาว ในอาหารที่ร้อนจัด เช่น สุกี้ หม้อไฟ หมูกระทะ เป็นต้น จะทําให้สารดังกล่าวละลายออกมาจากตะเกียบ ปะปนในอาหาร
ในรายที่แพ้ ง่ายหรือเป็นโรคหอบหืดจะมีอาการแสดงทันทีที่ได้รับสารนี้เข้าไป ส่วนในคนที่ร่างกายแข็งแรงจะยังไม่แสดงอาการ แต่จะค่อยๆ สะสมในร่างกาย ทําให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง จึงมีโอกาสเกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายกว่าปกติ เพราะร่างกายไม่มีภูมิต้านทาน หากได้รับสารสะสมนานเข้าอาจกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็ง
เพื่อความปลอดภัยเมื่อต้องใช้ตะเกียบ
วิธี การที่ช่วยให้เราเลี่ยงจากพิษภัยของสารเคมีในตะเกียบ เมื่อต้องใช้ตะเกียบกินของร้อนๆ สามารถป้องกันได้ด้วยการนําตะเกียบไปแช่ในน้ำร้อนก่อนประมาณ 3-4 นาที แล้วเทน้ำทิ้งไป จึงค่อยนําตะเกียบมาใช้
แต่ในความเป็นจริงการแช่ตะเกียบตามร้านอาหาร หรือร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางค่อนข้างยุ่งยาก และคนขายไม่อยากทําให้
ทางที่ดีคือ เราอาจนําตะเกียบส่วนตัวไปใช้เอง หรือทําความสะอาดตะเกียบให้เรียบร้อยก่อนนํามาใช้ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
=================================================
เริ่มแรก FWD Mail ตัวนี้มีที่มาจากการพบสารฟอกขาวในข่าวการตรวจสอบพบ Trace SO2 ในตะเกียบ โดยพบว่าตะเกียบในไต้หวันมีปริมาณ SO2 เกินกว่า 500 ppm ถึงร้อยละ 68[1] ข่าวดังกล่าวถูกนำมาเป็นประเด็นและในฝั่งภาษาอังกฤษ มันก็ขยายไปถึงว่า ถ้าเอาตะเกียบไปแช่น้ำร้อนจะเห็นผงสีขาวค่อยๆละลายออกมาจากตะเกียบเลยด้วย[2]
ทั้งนี้ Bleach ที่ว่า มันก็คือ SO2 ตัวตรงๆเลยละครับ SO2 เป็น Reducing Agent และฟอร์มที่มันจะ Reduce ลงไปก็ได้แก่เป็นรูปซัลไฟต์ (-SO32-) หรือซัลเฟต (-SO42-) ซึ่งตกค้างอยู่ในรูปเกลือ หรือตัว SO2 เองที่ตกค้างกับความชื้นในรูปกรดซัลฟิวรัสหรือกรดซัลฟิวริค
สำหรับการตกค้างในรูปซัลไฟต์ ซัลไฟต์ เป็นหนึ่งใน 9 สารเคมีพื้นฐานที่ก่ออาการแพ้ในกลุ่มอาหาร ซึ่งการแพ้ส่วนใหญ่จะเป็นการสัมผัสกับผิวหนัง นแง่การบริโภค มันก็อาจทำให้เกิดอาการหารใจลำบาก หรือหอบหืด ซึ่งทั้งนี้ ก็ต้องระบุว่ามันเป็นอาการที่อยู่ในกลุ่มภูมิแพ้ครับ ในอุตสาหกรรมไวน์ และอาหารกระป๋อง มีการใส่ซัลไฟต์เป็นสารถนอมอาหารตามปรกติ ถ้าเปรียบเทียบอันตรายก็คงเทียบว่าเหมือนอาหารทะเลที่บางคนแพ้บางคนไม่แพ้[3]
และทั้งนี้ ซัลไฟต์เป็น Reducing agent มันจะทำปฏิกิริยาต่อกับออกซิเจนในอากาศถ้ามีความชื้นแล้วก็เปลี่ยนรูปไปอยู่ในรูปซัลเฟตอยู่ดี ตรงนี้เองการใส่ซัลไฟต์เล็กน้อยลงในไวน์จะช่วยกำจัดออกซิเจนส่วนเกินที่ละลายอยู่ในไวน์และรักษารสชาติไวน์ได้นานขึ้น[4]
สำหรับปริมาณตกค้างในรูปกรดซัลฟิวริค ถ้าให้ความเข้มข้นขนาด 500 ppm หรือ 0.05% ในกรณีที่บริโภคตะเกียบเข้าไปทั้งด้าม เราก็จะได้ปริมาณกรดซัลฟิวริคเทียบเท่า 0.007% ของปริมาณ LD50 ที่ทดสอบในหนู อืมม์ เอาเป็นว่าถ้ามีไอ้บ้าที่ไหนแทะตะเกียบเล่นจนตายเพราะพิษกรดซัลฟุริคโดยไม่โดนไม้ตำเหงือกแหกเลือดสาดตายก่อน มันก็คงต้องแทะตะเกียบเข้าไปสัก 3 กิโลได้ (ปริมาณขนาดนี้ ต่อให้เป็นการดื่มน้ำเล่นก็ยังถือว่าอันตรายเลยนะครับนั่น) [5] หรือจะเทียบอีกอย่างเช่นร่างกายคนมีกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ แต่ไฮโดรคลอริกก็มีค่า LD50 ในหนูที่ 900 mg/kg โดยในกระเพาะคนเรามีกรดไฮโดรคลอริกสำหรับย่อยอาหารที่ความเข้มข้น 0.5% ครับ
ถ้าผมเขียน FWD เมล์นี้ผมจะอ้างพวกไซยาไนด์ หรือยาฆ่าแมลงเพื่อป้องกันมอด ดีกว่ามาอ้างกรดซัลฟิวริคเพราะมีเหตุผลกว่าเยอะครับ หรือถ้าจะพูดตรงๆเรื่องความด้อยคุณภาพในการควบคุมการผลิตมันก็ได้ และโดยส่วนตัว ผมกลัวเรื่องการปนเปื้อนของเชื้อโรคจากกระบวนการผลิตแบบแบกะดินมากกว่าการใช้ยาฆ่าแมลงด้วยซ้ำ เพราะยาฆ่าแมลง Dose น้อย มันก็ไม่มีผล แต่เชื้อโรค มันเข้าไปแล้วมันขยายพันธุ์ได้ ดูกระบวนการผลิตตะเกียบในไทยก็แล้วกัน
ทางเลือกประเภทใช้ตะเกียบอนามัยชั้นดีที่ผลิตจากเครื่องจักรอุตสาหกรรมที่ทันสมัยมันก็มี เราก็จะไม่เห็นการแบกะดินแต่ทั้งนี้ การเอาตะเกียบสำหรับตัวเองมาใช้ นอกจากประเด็นเรื่องสุขอนามัยแล้ว มันก็เป็นมาตรการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี ในประเทศญี่ปุ่น แต่ละปี มีปริมาณตะเกียบที่ใช้แล้วทิ้งคือ 25,000,000,000 คู่ คิดเป็นน้ำหนักขยะก็ประมาณ 500,000 ตันต่อปี ซึ่งญี่ปุ่นกำลังพยายามเปลี่ยนวัฒนธรรมให้เป็น Eco-friendly และก็มีมาตรการต่างๆเพื่อลดการใช้ตะเกียบใช้แล้วทื้ง โดยมีการรณรงค์ให้พกพาตะเกียบมาใช้เอง อย่างบราเซียร์พร้อมพกตะเกียบของ Triumph[6] ซึ่งก็ออกบราเซียร์รูปแปลกๆออกมาให้เห็นบ่อยๆ
ผมไม่รู้นะว่าจะมีใครใช้บราเซียร์พกตะเกียบอย่างนี้จริงไหม แต่ทั้งข้าวและมิโซะดูน่ารับประทานมากครับ อ่ะ มาดูแบบภาพเคลื่อนไหวกันมั่ง
ในอังกฤษ ก็มีการทำ Survey ที่จะเปลี่ยนจากตะเกียบใช้แล้วทิ้งมาเป็นตะเกียบล้างใช้ใหม่ ซึ่งจากการ Survey คนก็ให้กระแสสนับสนุนวัฒนธรรม Eco-Friendly เช่นกัน[7] สำหรับในไทย การพกตะเกียบใช้เองก็ไม่น่าเป็นเรื่องเสียหาย อย่างการลดการใช้ถ้วยกระดาษโดยให้เอาถ้วยกาแฟมาเอง ก็เป็นมาตรการที่มีการนำใช้กันอยู่
แต่ทั้งนี้ ถึงผลลัพธ์ของ FWD Mail นรก นี่จะออกมาในทางที่เป็น Eco-Friendly ดีต่อสุขอนามัย มันก็แค่การบังเอิญขี้ตรงร่องของพวกชิงหมาเกิดที่วันๆกะสร้างความปั่นป่วนให้สังคมเท่านั้นละครับ การโกหกยังไงก็คือการโกหกวันยังค่ำ สมมุติมีคนเคยเชื่อเรื่องประเด็นสารฟอกขาวในตะเกียบ แล้วมาพบว่ามันเป็นเรื่องโกหก พอมาเจอข่าวเรื่องความสกปรกของตะเกียบ ก็อาจคิดว่าเป็นเรื่องโกหกเหมือนกัน ดังนั้น สิ่งที่โกหกพวกนี้ ถึงจะเหมือนมีผลลัพธ์ดี มันก็ยังเป็นเรื่องชั่วช้าอยู่นั่นเอง
สัพเพ ฟอร์เวิร์ดเมละ ไร้สาระ วิบัติสติ
อ้างอิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น