หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

911 ความสูญเสียจากความงมงาย



วันที่เขียนบทความนี้ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็นวันที่เกิดการก่อการร้ายทางศาสนาครั้งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน เหตุการณ์ครั้งนั้นคร่าชีวิตคนไปเกิอบ 3,000 ศพ[1] และถ้ารวมไปถึงผู้เสียชีวิตที่ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวตัวเลขจะอยู่ที่เกือบๆล้านศพ[2] เพราะต่อจากเหตุการณ์ตามล่า Osama Bin Laden มันยังตามมาด้วยการเช็คบิลซัดดัม ฮุสเซน 
และนี่คือสิ่งที่ผู้ศรัทธาในศาสนากล่าวไว้ว่า “ศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี”
ศาสนา สอนให้คนเป็นคนดี แต่เป็นคนดีตามนิยามความดีของแต่ละศาสนานั้น ในกลุ่มศาสนาที่มีพระเจ้า การทำดีคือการทำตามพระประสงค์ หรือในศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า นิยามความดีอาจอิงเข้ากับผลลัพธ์ของศาสตร์ทางสังคมที่สั่งสมผ่านภูมิปัญญาของมนุษย์ แต่ทั้งนี้เมื่อเราเลิกขบคิดถึงเหตุและผลของความเชื่อ ปฏิบัติต่อมันดังข้อเท็จจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ณ ตอนนั้น เราได้กลายเข้าสู่กลไกของความงมงาย ซึ่งง่ายต่อการเดินหน้าต่อไปอย่างมืดบอด ง่ายต่อการถูกบิดเบือนด้วยผู้ใช้ศาสนาโดยสิ่งที่เขาต้องอ้างก็มีเพียงแค่อ้างเข้ากับตำรา แทนที่จะต้องมาทำการศึกษาอ้างเข้ากับข้อเท็จจริง ทั้งนี้ มี Quote ของ Steven Weinberg ได้กล่าวไว้ว่า
Religion is an insult to human dignity. With or without it you would have good people doing good things and evil people doing evil things. But for good people to do evil things, that takes religion.[3]
ศาสนา เป็นสิ่งที่ดูหมิ่นศักดิ์ศรีของมนุษย์ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีศาสนา คนดีก็จะทำความดี และคนชั่วก็จะทำความชั่ว แต่ถ้าจะให้คนดีทำความชั่วละก็ นั่นต้องอาศัย “ศาสนา”

ผมคิดว่า Weinberg อาจกล่าวหาศาสนาเกินจริงไปบ้าง ถ้าจะบอกว่า “ศาสนา” คือสิ่งที่ชั่วช้าทำให้คนดีทำชั่ว แต่ผมบอกว่า “ความเชื่อ” อย่างมืดบอด คือสิ่งที่ทำให้คนดีทำความชั่ว ความเชื่อที่ปราศจากความสงสัย ทำให้ผู้คนเลิกตั้งคำถาม “อะไร” “ทำไม” “เพราะเหตุใด” อีกต่อไป ซึ่งทำให้มนุษย์กระทำการอันโง่เขลาในประวัติศาสตร์ และยังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน 


ในศาสนาพุทธ เราสอนเรื่องการตัดความสงสัย แต่การตัดความสงสัยในปัจจุบันดันกลับกลายเป็นการห้ามสงสัย กลายเป็นความมืดบอดทางความคิด ณ ตอนนี้ ศาสนาพุทธที่ผมนับถือก็เสมือนว่ามันได้สาบสูญหายไปจากปัจจุบัน เรามีแต่เกรียนที่อ้างเรื่องความดีเพื่อจะใช้กดขี่ 

ในอีกด้าน นอกจากศาสนาหลัก เราก็มีผู้ที่ใช้ความเชื่ออย่างมืดบอดในทางตรงข้ามที่จะประณามทุกสิ่งที่เกิดจากศาสนา และความเชื่อต้องเป็นเรื่องโง่เง่าโดยไม่ผ่านกลไกการวิเคราะห์ ไม่ผ่านระบบตรรกศาสตร์ ไม่ใช้หลักฐาน นี่ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความเชื่อที่มืดบอดไม่ผิดอะไรกับศาสนา การต่อต้านศาสนาอย่างมืดบอด มันก็ไม่ต่างอะไรกับการนับถือศาสนาอย่างมืดบอด มันคงจะดี ถ้าเราสามารถก้าวข้ามความโง่เขลาเหล่านี้ และหวังว่าในวันหนึ่ง มนุษยชาติของเราจะก้าวพ้นความมืดบอด ในตอนนั้น ทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์ก็คงจะรวมเข้าด้วยกัน และข้อขัดแย้งของมนุษย์ชาติก็อาจจะหมดไปก็เป็นได้


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น