หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

(แก้ไข) สวัสดี ชาวทางช้างเผือก เรามาจากกาแล็คซี่อันไกลโพ้น

บทความนี้เป็นเท็จ
จากข้อมูลของคุณแมวสีหมอก แห่งห้องหว้ากอ บางทีบทความนี้ทั้งหมดเป็นข้อผิดพลาด และ จขกท ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้http://www.astro.virginia.edu/~mfs4n/sgr/
Update 9 กค 2555 15:44 สรุปว่าบทความตรงนี้ ไม่ Accurate จริงๆบทความ Debunk ให้ข้อบ่งชี้ว่า Cite ที่ให้มาไม่มีจุดอ้างอิงชัดเจน ซึ่งเห็นด้วยตามนั้น เพราะบทความต้นเรื่อง มีบ่งชี้แค่การรวมตัวของ SagDEG กับ กาแลคซี่ทางช้างเผือก และ แม้จะค้นต่อไปก็พบบทความประปรายถึงทฤษฏีการเกิดของดวงอาทิตย์นอกกาแล็คซี่ แต่ ก็ไม่โยงไปถึง SagDEG และก็ มี Discuss ในวิกิ ถึงข้อที่มันโยงไม่ถึงข่าวจากองค์กรต้นเรื่องด้วย   http://en.wikipedia.org/wiki/Talk:Sagittarius_Dwarf_Elliptical_Galaxy
และโดยหลักการของบทความ ตามกฏ Burden of Proof ของผู้นำเสนอบทความ การที่บทความโยงไปไม่ถึงองค์กรต้นเรื่อง ย่อมถือว่า บทความนั้นอ้างอิงไม่ได้ ข้าพเจ้ายอมรับว่าบทความนี้ไม่ได้ตรวจสอบอย่างดีพอ และขอประจานตัวเองทิ้งไว้ เป็นการอ้างอิง สำหรับกรณีเกิดมีคนนำไปทำเป็น FWD Mail ลวงโลกครับ



ลองคิดดูว่ามันจะช็อคแค่ไหนถ้าเราเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น กับคนที่เราเรียกว่า แม่ และ พ่อ แล้วมาเจอว่า เราเป็นลูกเลี้ยง

     - Dan Eden กล่าว [1]

จากประเด็นที่กาแล็คซี่ แอนโดรมีด้า จะชนปะทะกับทางช้างเผือกในอีก 4000 ล้านปีข้างหน้า ที่เคยมีถกกันในหว้ากอ ประมาณเดือนมิถุนายน 2555 และมีข้อถกเถียงเรื่องความเป็นไปได้ที่สุริยจักรวาลของเราจะอยู่รอด ขณะที่ค้นข้อมูลดังกล่าว ก็ได้พบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ  กาแล็คซี่ทางช้างเผือกของเรา เคยมีการชนรวมกับกาแล็คซี่เล็กๆอื่นๆอีกมากมาย และ นักวิทยาศาสตร์ ก็ได้พบว่า จริงๆแล้ว  ระบบสุริยจักรวาลของเรามาจากมวลของกาแล็คซี่อื่น เรามาจาก กาแล็คซี่แคระ ซาจิทาเรียส (Sagittarius Dwaft galaxy: SagDEG)

นักวิทยาศาสตร์มีข้อสงสัยมานานเกี่ยวกับมุมมองของทางช้างเผือกที่มองจากโลก เพราะปรกติแล้ว ระบบสุริยจักรวาลใดๆ ก็จะโคจรในระนาบเดียวกับการโคจรรอบจุดศูนย์กลางของกาแล็คซี่ ทว่า จากมุมมองของโลก เราจะเห็นกาแล็คซี่ทางช้างเผือกเป็นมุมเอียงดังภาพประกอบ ซึ่งก็แสดงว่า ระนาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของเรา อยู่คนละระนาบกับที่ระบบสุริยะของเราโคจรรอบศูนย์กลางกาแล็คซี่ทางช้างเผือก [2][3]



สาเหตุที่ระนาบการโคจรของระบบสุริยะของเราอยู่คนละระนาบกับกาแล็คซี่ทางช้างเผือกนั้น เหตุผลก็คือ เราเป็นร่องรอยที่หลงเหลือจากการสลายตัวของกาแล็คซี่ SagDEG  ซึ่งเป็นกาแล็คซี่รูปวงรีที่กำลังสลายตัวรวมเข้ากับกาแล็คซี่ทางช้างเผือก

กาแล็คซี่ SagDEG นั้นถูกค้นพบในปี 1994 โดย ทีมนักดาราศาสตร์ Rodrigo Ibata, Mike Irwin และ Gerry Gilmore กาแล็คซี่ SagDEG เป็นกาแล็คซี่ที่ถือว่าอยู่ใกล้ทางช้างเผือกที่สุดในขณะนั้น (ก่อนหน้าการค้นพบกาแล็คซี่ Canis Major Dwaft ในปี 2003) [4] ตัว SagDEG นั้น เชื่อว่าเริ่มเดิมที เป็นกาแล็คซี่รูปทรงกลม ที่ถูกดึงดูดเข้าสู่แรงโน้มถ่วงของกาแล็คซี่ทางช้างเผือกจนยืดออกเพราะมวลของกาแล็คซี่ SagDEG นั้น น้อยกว่ามวลของทางช้างเผือกถึง 10,000 เท่า ตามข้อมูลการศึกษาจากทีม Astrophysics ในโครงการ Two-Micron All sky Infrared Survey (2MASS) จำลองภาพการสลายตัวตาม youtube ข้างล่าง [4]


เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์จาก 2MASS ทำการศึกษาต่อไปถึงการกระจายตัวของละอองดาวจากกาแล็คซี่ SagDEG ด้วยการจำลองโมเมนตัมการเคลื่อนไหว นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่า ทั้งสมบัติของมวลสุริยะจักรวาลของเรา และแนวระนาบโคจรของเราที่ผิดปรกติ รวมไปถึงพฤติกรรมย่อยๆเช่นการเคลื่อนไหวแบบ Oscillation ผ่านระนาบทางช้างเผือก (ประเด็นเดียวกับที่เคยมีทำทำนายระบบสุริยะของเราจะผ่านช่วงที่ดวงดาวหนาแน่นสุดๆในปี 2012 ตามปฏิทินมายา และเป็นวันสิ้นโลก) คำตอบก็คือ เราเป็นส่วนที่มาจากกาแล็คซี่ SagDEG นั่นเอง


 แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องประหลาดที่สุริยจักรวาลเรามีกำเนิดมาจากนอกกาแล็คซี่ แต่ในมุมมองของเอกภพ นี่กลับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะปรกติที่กาแล็คจะรวมตัวกัน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า กาแล็คซี่ขนาดใหญ่อย่างทางช้างเผือก หรือแอนโดรมีด้า ก็เกิดจากการรวมของกาแล็คซี่ขนาดเล็กเข้ามานับไม่ถ้วน การชนกันของกาแลคซี่ เป็นแค่การรวมตัวกันของแรงและโมเมนตัมเชิงมุม มันไม่ใช่ความหายนะหรือการทลายลง โอกาสที่ดาวแต่ละดวงจะชนกันนั้น น้อยจนไม่มีนัยสำคัญ การรวมกันมันจึงออกจะเป็นการรวมเพื่อกำเนิดใหม่ขึ้นมากกว่า ท้ายสุดแล้ว อีก 4000 ล้านปีให้หลัง เมื่อกาแล็คซี่แอนโดรมีด้ารวมเข้ากับกาแลคซี่ทางช้างเผือก ไม่ว่า ระบบสุริยะของเรา จะถูกรวมเข้ากับกาแล็คซี่ใหม่ หรือถูกเหวี่ยงออกไปข้างนอก (ซึ่งเป็นไปได้น้อยกว่า แต่ก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงภายในใดๆกับระบบสุริยะของเรา) ภายในเวลา 500 ล้านปีจากนี้ อุณหภูมิพื้นผิวของโลกก็จะสูงเกินกว่าที่จะมีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยได้อยู่ดี[5] และเราคงไม่มีความจำเป็นต้องกังวลใดๆกับชั่วชีวิตของมนุษยชาติที่แสนสั้นเมื่อเทียบกับอายุขัยของกาแลคซี่และดวงดาว

อ้างอิง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น