หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชั่วกัปชั่วกัลป์



ในศาสนาพุทธมีนิยามของกัปป์ไว้ว่า

กัป หรือ กัลป์ (บาลี: กปฺป; สันสกฤต: कल्प กลฺป) มีความหมายหลายทาง ได้แก่ กาล, เวลา, สมัย, อายุ, กำหนด, วัด, ประมาณ เป็นคำบอกถึงช่วงเวลาที่ยาวนานที่ใช้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก [1]
คำว่ากัปนั้นมิได้มีเวลาเฉพาะ โดยจากการค้นคว้าข้อมูลเปรียบเทียบในพระไตรปิฎก ก็มีการให้เปรียบเทียบโดยระยะเวลาไว้ใน สาสปสูตร [2] ว่า
ดูกรภิกษุเหมือนอย่างว่า นครที่ทำด้วยเหล็ก ยาวโยชน์ ๑ กว้างโยชน์ ๑ สูงโยชน์ ๑ เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนครนั้น โดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ดเมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น พึงถึงความสิ้นไป หมดไป เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไป หมดไป กัปนานอย่างนี้แล
ในเวบวิชาธรรม [3] ได้มีการทำคำนวณเปรียบเทียบว่าระยะเวลาดังกล่าวนั้น จะยาวนานถึง 3.3 x 10^24 ปี โดยสมมุติเมล็ดผักกาด มีขนาดประมาณ 0.5 mm และก็ยังไม่ถึงเวลาสิ้นกัป และยังมีพบว่า โดยนิยามของกัปนั้น ต้องครอบคลุมถึงอายุขัยของทุกสิ่งทั้งในโลกของนรกและสวรรค์ ถ้าเราจะนับอายุของสัตว์นรก อายุ 1 ปทุมมะ นั้นก็ยาวนานถึง 2.6 x 10^26 ปี ดังนั้น กัป ต้องเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่านั้น

ประวัติศาสตร์ของดวงดาว กาแลคซี่ และจักรวาล


จักรวาลที่เราอยู่นั้นมีอายุขัยประมาณ 15,000,000 ,000 ปี นับจากการเกิด Singularity สำหรับอายุขัยของระบบสุริยะที่เราอยู่นี้ เกิดมาได้เพียง 4,500,000,000 ปี และน่าจะดำรงอยู่ได้ประมาณ 14,000,000,000,000  ปีก่อนดวงอาทิตย์จะดับสลาย[4] อายุของสิ่งมีชีวิตนั้น สั้นยิ่งกว่า โดยสิ่งมีชิวิตบนโลกนี้ ที่พัฒนาจนถึงระดับของการเป็นเซลล์ก็เพียงในช่วงยุค Cambrian เมื่อ  500,000,000 ปีก่อน[5] ในยุคก่อนนั้น ที่มีก็เป็น Protocell ที่เป็นเพียงโมเลกุลที่เพิ่มจำนวนตัวเองได้ ซึ่งหาอ่านต่อได้ในบทความ ทฤษฎีวิวัฒนาการ การกำเนิดของเซลล์แรก


ส่วนนับจากปัจจุบันไป สิ่งมีชีวิตบนโลก ก็อาจดำรงอยู่ได้อีกประมาณ 500,000,000 ปี เพราะ ณ ตอนนั้น ดวงอาทิตย์จะมีการปล่อยพลังงานออกมามากขึ้น และจะทำให้ความร้อนสัมผัสบนผิวโลกมีอุณหภูมิสูงเกินกว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ได้[6] และเมื่อบีบ Scope ลงมาอีกนิด สิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์นั้น ก็เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาเพียงแค่ 1-2 ล้านปีที่ผ่านมานี้เอง และที่เป็นมนุษย์จริงๆก็เพิ่งจะแค่ 100,000 ปีที่แล้ว [7]

ถ้าพูดถึงกรอบของอารยธรรม อารยธรรมมนุษย์ที่เป็นเมืองนั้น มีอยู่ไม่เกินเพียง 10,000 ปีที่แล้ว [8]  สิ่งที่บ่งชี้ได้ก็คือ มันไม่มีเมืองหรืออะไรที่มีอารยธรรมสูงส่งมาก่อนยุคของเรา ภายใต้ขอบเขตนี้ พุทธกาลก่อนของพระกัสสปะพุทธเจ้า ย่อมไม่สามารถกำเนิดอยู่ในดาวดวงนี้อย่างแน่นอน เพราะอายุขัยของท่านคือ 20,000 ปี [9] แต่หากถ้าเรื่องราวนี้เป็นจริงได้ ก็อาจเกิดขึ้นนอกสุริยจักรวาลนี้ เพราะ มันก็ยังมีช่วงเวลาถึง 15,000,000,000 ปี ตั้งแต่กำเนิดของจักรวาล และ มันก็อาจถูกต้องกว่าถ้าจะคิดว่า สิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาที่จะสูงถึง 20 ศอก หรือ 10 เมตร มันน่าจะเกิดบนดาวดวงอื่นที่มีแรงโน้มถ่วงน้อยกว่าโลก

อายุขัยของจักรวาล เทียบกับกัป

อายุขัยของจักรวาลยังเป็นปริศนา เพราะในทางวิทยาศาสตร์ โมเดลของจักรวาลก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ว่า มันจะขยายไปไม่มีที่สิ้นสุด และศักย์ภาพการทำงานจะถูกใช้ จนไม่เหลือศักย์พลังงานใดๆจะให้กำเนิดดวงดาว และสิ่งมีชีวิตใหม่ๆได้ หรือว่ามันจะหดตัวแล้วย้อนเริ่มกระบวนการ Big Bang ใหม่ ขึ้นอยู่กับตัวแปรสัดส่วนความถ่วงจำเพาะต่อความถ่วงจำเพาะวิกฤติของจักรวาลนี้ Ω [10] โดยโมเดลทางวิทยาศาสตร์นั้น ถ้า Ω มากกว่า 1 นั่นคือจักรวาลเปิด และไม่มีการย้อนกลับ ถ้าน้อยกว่า 1 นั่นคือจักรวาลปิด และมีทางหดตัวย้อนกลับ [11] และเพราะเรากำลังเทียบกับโมเดลของพุทธ เราจึงจะให้ความสำคัญกับโมเดลของจักรวาลที่มีทางหดตัวย้อนกลับมากกว่า แม้ว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ณ ปัจจุบันจะยังไม่ปรากฏการชะลอตัวที่ว่า แต่อย่างน้อย ก็ไม่มีหลักฐานค้านว่ามันจะเป็นไปไม่ได้

สำหรับจักรวาลที่เราอยู่นี้ อยู่ในช่วงของการขยายตัว ซึ่ง ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ในห้วงจักรวาลนี้ การเกิดและดับของดวงดาว และกาแลคซี่ ยังอาจเกิดต่อไปได้อีกประมาณ 10^14 ปี จึงจะเข้าสู่ช่วงของการเสื่อมถอย และในช่วงของการเสื่อมถอยจนไปถึงจุดสุดท้ายของจักรวาลที่กลายเป็นหลุมดำ และค่อยๆระเหิดหายไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า Hawking Radiation ระยะเวลานั้น ก็จะอยู่ในช่วง 10^100 ปี [12] และรวมไปถึงกระบวนการ Big Crunch ที่จะต้องตามความเชื่อของชาวพุทธที่เรายังไม่พบหลักฐานว่ามันจะยาวนานแค่ไหน และความยาวนานนั่นอาจเป็นขอบเขตของเวลาของกัป ที่พระพุทธเจ้าพูดถึงว่า มันสุดประมาณ และ นอกจากว่า มันยาวนานมากๆ ระยะเวลาของแต่ละ Cycle มันอาจสั้นยาวไม่เท่ากันด้วยซ้ำ

วิทยาศาสตร์แบบแปลกๆของชาวพุทธ


ชาวพุทธในประเทศไทย จะมีอะไรบางอย่างเพี้ยนๆ จากการพยายามแถวิทยาศาสตร์ให้ตรงกับศาสนาโดยพระบ้าง นักเขียนบ้าง ชาวพุทธหลายคนเชื่อว่าโลก หรือ ภพนี้ จำกัดอยู่แค่ดาวที่ชื่อว่าโลก และพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ก่อนต้องเกิดบนดาวดวงนี้ โดยอ้างไปว่านักวิทยาศาสตร์ทำนายอายุผิดบ้าง และยังพยายามหาโยงถึงวัตถุเกินโบราณที่แสดงถึงอารยธรรมในยุคเกิน 1,000,000,000 ปี เช่นกรณีของ เหม ญาณวีโร กับหนังสือ “บางสิ่งที่ไอน์สไตน์ไม่รู้แต่พระพุทธเจ้าเห็น  แต่จากบทความนี้ ผมหวังว่าผู้อ่านน่าจะจับสังเกตถึงความยาวนานของขัยของอารยธรรม ของดวงดาว ของระบบสุริยะ และของจักรวาลได้

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเราจินตนาการถึงห้วงเวลาอันแสนยาวนานของจักรวาลไม่ออกด้วยการอ่านแค่ตำราทางศาสนา และไม่เปิดใจถึงความน่าจะเป็นแบบต่างๆ มนุษย์คนนั้นก็อาจทำใจยอมรับไม่ได้ถ้าหากว่า สิ่งในตำนานที่เราบูชาอย่างพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ จะกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นนอกจากมนุษย์ ว่ากันจริงๆ คนที่เขียนรูปของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนองค์ปัจจุบันก็ไม่เคยได้รู้ได้เห็นว่า ของจริงเป็นอย่างไรก็ได้แต่จินตนาการเอา พระพุทธเจ้าองค์ก่อน แค่อาจเป็นสิ่งมีชีวิตคาร์บอนอย่างเรานี่ก็ยากแล้ว อาจมีหน้าตาอย่างมนุษย์ดาวบัลตั้น ก็ยังได้ และมันก็จะดูสวยงามเป็นปรกติของธรรมชาติสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ตำนานที่บันทึกสืบกันมา มันก็แค่เป็นการต่อความตีความเท่าที่ขีดความสามารถของมนุษย์จะรับออกมาได้เท่านั้นเอง


ผมคิดว่าโลกที่ “เหี้ย” พูดได้ใน โคธชาดกมันน่าจะคล้ายๆกับอย่างนี้มากกว่า 



อ้างอิง

ปล. สำหรับช่วงเวลาของกัป และ ยุคยังมีตำนานของฝั่งพราหมณ์และฮินดูให้ค้นต่อไปได้อีก และการตีความก็ยังแตกต่างออกไปได้มาก ถ้าเทียบกับความเชื่อของพุทธแบบเถรวาทในไทย ซึ่งสามารถลองค้นอ่านต่อได้ ที่นี่





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น