ในศาสนาพุทธมีนิยามของกัปป์ไว้ว่า
กัป หรือ กัลป์ (บาลี: กปฺป; สันสกฤต: कल्प กลฺป) มีความหมายหลายทาง ได้แก่ กาล, เวลา, สมัย, อายุ, กำหนด, วัด, ประมาณ เป็นคำบอกถึงช่วงเวลาที่ยาวนานที่ใช้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก [1]
คำว่ากัปนั้นมิได้มีเวลาเฉพาะ โดยจากการค้นคว้าข้อมูลเปรียบเทียบในพระไตรปิฎก
ก็มีการให้เปรียบเทียบโดยระยะเวลาไว้ใน สาสปสูตร [2] ว่า
ดูกรภิกษุเหมือนอย่างว่า นครที่ทำด้วยเหล็ก ยาวโยชน์ ๑ กว้างโยชน์ ๑ สูงโยชน์ ๑ เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนครนั้น โดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ดเมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น พึงถึงความสิ้นไป หมดไป เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไป หมดไป กัปนานอย่างนี้แล
ในเวบวิชาธรรม [3] ได้มีการทำคำนวณเปรียบเทียบว่าระยะเวลาดังกล่าวนั้น
จะยาวนานถึง 3.3 x 10^24 ปี
โดยสมมุติเมล็ดผักกาด มีขนาดประมาณ 0.5 mm และก็ยังไม่ถึงเวลาสิ้นกัป และยังมีพบว่า
โดยนิยามของกัปนั้น ต้องครอบคลุมถึงอายุขัยของทุกสิ่งทั้งในโลกของนรกและสวรรค์
ถ้าเราจะนับอายุของสัตว์นรก อายุ 1
ปทุมมะ นั้นก็ยาวนานถึง 2.6 x 10^26 ปี
ดังนั้น กัป ต้องเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่านั้น
ประวัติศาสตร์ของดวงดาว กาแลคซี่ และจักรวาล
จักรวาลที่เราอยู่นั้นมีอายุขัยประมาณ 15,000,000 ,000 ปี นับจากการเกิด
Singularity สำหรับอายุขัยของระบบสุริยะที่เราอยู่นี้
เกิดมาได้เพียง 4,500,000,000
ปี และน่าจะดำรงอยู่ได้ประมาณ 14,000,000,000,000 ปีก่อนดวงอาทิตย์จะดับสลาย[4]
อายุของสิ่งมีชีวิตนั้น สั้นยิ่งกว่า โดยสิ่งมีชิวิตบนโลกนี้
ที่พัฒนาจนถึงระดับของการเป็นเซลล์ก็เพียงในช่วงยุค Cambrian เมื่อ 500,000,000 ปีก่อน[5]
ในยุคก่อนนั้น ที่มีก็เป็น Protocell
ที่เป็นเพียงโมเลกุลที่เพิ่มจำนวนตัวเองได้ ซึ่งหาอ่านต่อได้ในบทความ ทฤษฎีวิวัฒนาการ การกำเนิดของเซลล์แรก
ส่วนนับจากปัจจุบันไป สิ่งมีชีวิตบนโลก
ก็อาจดำรงอยู่ได้อีกประมาณ 500,000,000
ปี เพราะ ณ ตอนนั้น ดวงอาทิตย์จะมีการปล่อยพลังงานออกมามากขึ้น
และจะทำให้ความร้อนสัมผัสบนผิวโลกมีอุณหภูมิสูงเกินกว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ได้[6] และเมื่อบีบ
Scope ลงมาอีกนิด
สิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์นั้น ก็เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาเพียงแค่ 1-2 ล้านปีที่ผ่านมานี้เอง
และที่เป็นมนุษย์จริงๆก็เพิ่งจะแค่ 100,000 ปีที่แล้ว [7]
ถ้าพูดถึงกรอบของอารยธรรม
อารยธรรมมนุษย์ที่เป็นเมืองนั้น มีอยู่ไม่เกินเพียง 10,000 ปีที่แล้ว
[8] สิ่งที่บ่งชี้ได้ก็คือ มันไม่มีเมืองหรืออะไรที่มีอารยธรรมสูงส่งมาก่อนยุคของเรา
ภายใต้ขอบเขตนี้ พุทธกาลก่อนของพระกัสสปะพุทธเจ้า
ย่อมไม่สามารถกำเนิดอยู่ในดาวดวงนี้อย่างแน่นอน เพราะอายุขัยของท่านคือ 20,000 ปี [9] แต่หากถ้าเรื่องราวนี้เป็นจริงได้
ก็อาจเกิดขึ้นนอกสุริยจักรวาลนี้ เพราะ มันก็ยังมีช่วงเวลาถึง 15,000,000,000 ปี
ตั้งแต่กำเนิดของจักรวาล และ มันก็อาจถูกต้องกว่าถ้าจะคิดว่า
สิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาที่จะสูงถึง 20 ศอก หรือ 10 เมตร มันน่าจะเกิดบนดาวดวงอื่นที่มีแรงโน้มถ่วงน้อยกว่าโลก
อายุขัยของจักรวาล เทียบกับกัป
อายุขัยของจักรวาลยังเป็นปริศนา เพราะในทางวิทยาศาสตร์
โมเดลของจักรวาลก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ว่า มันจะขยายไปไม่มีที่สิ้นสุด
และศักย์ภาพการทำงานจะถูกใช้ จนไม่เหลือศักย์พลังงานใดๆจะให้กำเนิดดวงดาว และสิ่งมีชีวิตใหม่ๆได้
หรือว่ามันจะหดตัวแล้วย้อนเริ่มกระบวนการ Big Bang ใหม่ ขึ้นอยู่กับตัวแปรสัดส่วนความถ่วงจำเพาะต่อความถ่วงจำเพาะวิกฤติของจักรวาลนี้ Ω [10] โดยโมเดลทางวิทยาศาสตร์นั้น
ถ้า Ω
มากกว่า 1 นั่นคือจักรวาลเปิด
และไม่มีการย้อนกลับ ถ้าน้อยกว่า 1
นั่นคือจักรวาลปิด และมีทางหดตัวย้อนกลับ [11] และเพราะเรากำลังเทียบกับโมเดลของพุทธ
เราจึงจะให้ความสำคัญกับโมเดลของจักรวาลที่มีทางหดตัวย้อนกลับมากกว่า แม้ว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
ณ ปัจจุบันจะยังไม่ปรากฏการชะลอตัวที่ว่า แต่อย่างน้อย
ก็ไม่มีหลักฐานค้านว่ามันจะเป็นไปไม่ได้
สำหรับจักรวาลที่เราอยู่นี้ อยู่ในช่วงของการขยายตัว
ซึ่ง ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ในห้วงจักรวาลนี้ การเกิดและดับของดวงดาว และกาแลคซี่
ยังอาจเกิดต่อไปได้อีกประมาณ 10^14
ปี จึงจะเข้าสู่ช่วงของการเสื่อมถอย
และในช่วงของการเสื่อมถอยจนไปถึงจุดสุดท้ายของจักรวาลที่กลายเป็นหลุมดำ
และค่อยๆระเหิดหายไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า Hawking Radiation ระยะเวลานั้น ก็จะอยู่ในช่วง 10^100 ปี [12]
และรวมไปถึงกระบวนการ Big
Crunch ที่จะต้องตามความเชื่อของชาวพุทธที่เรายังไม่พบหลักฐานว่ามันจะยาวนานแค่ไหน
และความยาวนานนั่นอาจเป็นขอบเขตของเวลาของกัป ที่พระพุทธเจ้าพูดถึงว่า
มันสุดประมาณ และ นอกจากว่า มันยาวนานมากๆ ระยะเวลาของแต่ละ Cycle มันอาจสั้นยาวไม่เท่ากันด้วยซ้ำ
วิทยาศาสตร์แบบแปลกๆของชาวพุทธ
ชาวพุทธในประเทศไทย
จะมีอะไรบางอย่างเพี้ยนๆ จากการพยายามแถวิทยาศาสตร์ให้ตรงกับศาสนาโดยพระบ้าง นักเขียนบ้าง ชาวพุทธหลายคนเชื่อว่าโลก หรือ ภพนี้ จำกัดอยู่แค่ดาวที่ชื่อว่าโลก และพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ก่อนต้องเกิดบนดาวดวงนี้ โดยอ้างไปว่านักวิทยาศาสตร์ทำนายอายุผิดบ้าง และยังพยายามหาโยงถึงวัตถุเกินโบราณที่แสดงถึงอารยธรรมในยุคเกิน 1,000,000,000 ปี
เช่นกรณีของ เหม ญาณวีโร กับหนังสือ “บางสิ่งที่ไอน์สไตน์ไม่รู้แต่พระพุทธเจ้าเห็น
แต่จากบทความนี้
ผมหวังว่าผู้อ่านน่าจะจับสังเกตถึงความยาวนานของขัยของอารยธรรม ของดวงดาว
ของระบบสุริยะ และของจักรวาลได้
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเราจินตนาการถึงห้วงเวลาอันแสนยาวนานของจักรวาลไม่ออกด้วยการอ่านแค่ตำราทางศาสนา
และไม่เปิดใจถึงความน่าจะเป็นแบบต่างๆ มนุษย์คนนั้นก็อาจทำใจยอมรับไม่ได้ถ้าหากว่า สิ่งในตำนานที่เราบูชาอย่างพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ
จะกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นนอกจากมนุษย์ ว่ากันจริงๆ
คนที่เขียนรูปของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนองค์ปัจจุบันก็ไม่เคยได้รู้ได้เห็นว่า
ของจริงเป็นอย่างไรก็ได้แต่จินตนาการเอา พระพุทธเจ้าองค์ก่อน
แค่อาจเป็นสิ่งมีชีวิตคาร์บอนอย่างเรานี่ก็ยากแล้ว อาจมีหน้าตาอย่างมนุษย์ดาวบัลตั้น
ก็ยังได้ และมันก็จะดูสวยงามเป็นปรกติของธรรมชาติสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ตำนานที่บันทึกสืบกันมา
มันก็แค่เป็นการต่อความตีความเท่าที่ขีดความสามารถของมนุษย์จะรับออกมาได้เท่านั้นเอง
ผมคิดว่าโลกที่ “เหี้ย” พูดได้ใน โคธชาดกมันน่าจะคล้ายๆกับอย่างนี้มากกว่า
อ้างอิง
ปล. สำหรับช่วงเวลาของกัป และ ยุคยังมีตำนานของฝั่งพราหมณ์และฮินดูให้ค้นต่อไปได้อีก และการตีความก็ยังแตกต่างออกไปได้มาก ถ้าเทียบกับความเชื่อของพุทธแบบเถรวาทในไทย ซึ่งสามารถลองค้นอ่านต่อได้ ที่นี่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น